1. ชื่อองค์ความรู้
เทคนิคการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
2. ชื่อเจ้าของความรู้ นางสาวเกสร
คำไวโย ตำแหน่ง นักวิชาการพัฒนาชุมชนปฏิบัติการ
สังกัดสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตากฟ้า เบอร์โทร 064-0340809
3. องค์ความรู้ที่บ่งชี้





หมวดที่ 5 เทคนิคการส่งเสริมช่องทางการตลาดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)



หมวดที่ 8
เทคนิคการเสริมสร้างองค์กรให้มีสมรรถนะสูง (เป็นบุคลากรทันสมัย พัฒนาองค์กร)
4.
ที่มาและความสำคัญในการจัดทำองค์ความรู้
เศรษฐกิจพอเพียง
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า
30 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ ซึ่งความพอเพียงนั้น หมายถึง
ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร
ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้
ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ
มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน ให้มีสำนึกในคุณธรรม
ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิต ด้วยความอดทน
ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
การส่งเสริมพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นภารกิจหลักของกรมการพัฒนาชุมชน
ที่ต้องส่งเสริมให้ประชาชนใช้ชีวิตตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนให้เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่
และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลามุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง
แบบค่อยเป็นค่อยไป ดังที่ว่าเดินที่ละก้าว กินข้าว ที่ละคำ เศรษฐกิจพอเพียง
สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง
และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน โดยคำนึงถึงความพอประมาณ
ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบและคุณธรรมประกอบการวางแผนการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
จึงเกิดโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอพียงต้นแบบขึ้นมาเพื่อหวังให้ประชาชนได้น้อมนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และความ ไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ
ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม
ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ
กรมการพัฒนาชุมชน ได้ดำเนินการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น
เป็นสุข” เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิต
และเป็นเป้าหมายของการพัฒนาหมู่บ้าน โดยจัดกระบวนการ เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้านได้ใช้ความรู้
ความเข้าใจ และประสบการณ์
และนำแนวทางการปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาหมู่บ้าน
เพื่อให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบการพัฒนา ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่มีความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้
ประสบการณ์ การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ แบ่งเป็น ๓
ลักษณะ คือ หมู่บ้านพัฒนา “พออยู่ พอกิน” “อยู่ดี กินดี”
และ “มั่งมี ศรีสุข” ซึ่งแต่ละประเภท จะเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ให้กับหมู่บ้านอื่น
ที่จะใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ ในการพัฒนาตนเองให้เข้มแข็งทัดเทียมกัน
และคงความต่อเนื่องในการพัฒนา เพื่อเป็นหมู่บ้านที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมีความพร้อมในการเป็นต้นแบบอย่างแท้จริง
เพื่อขยายผลไปสู่หมู่บ้านที่มีความสนใจ
และเริ่มจัดกระบวนการพัฒนาโดยใช้วิธีการเรียนรู้ร่วมกันแบบบ้านพี่บ้านน้อง
ในลักษณะเครือข่ายการพัฒนาร่วมกัน
การดำเนินการโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการพัฒนาชุมชนด้วยการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมสำหรับปรับเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงระบบคิดเพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่เหมาะสมเป็นชุมชนเข้มแข็งพึ่งตัวเองได้และการกำหนดระบบการประเมินที่มีประสิทธิภาพใช้เกณฑ์ชี้วัดและมีหลักฐานการยืนยันการปฏิบัติให้เป็นที่ยอมรับโดยผ่านเกณฑ์การประเมินคำรับรองแพทย์พิจารณาภายใต้เงื่อนไขในการคัดเลือกหมู่บ้านเป้าหมายและขั้นตอนการบริหารจัดการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
กระบวนการ/วิธีการ/ขั้นตอนการดำเนินงาน
๑.
เริ่มจากการพิจารณาคัดเลือกหมู่บ้านที่มีความพร้อมในการดำเนินชีวิตตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
๒. เตรียมความพร้อมหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง
โดยการคัดเลือกครัวเรือนพัฒนา จำนวน 30 ครัวเรือนเข้าร่วมกิจกรรมและที่สำคัญต้องเต็มใจ
พร้อมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3. จัดสัมมนาการเรียนรู้วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง
ครัวเรือนพัฒนา ๓๐ ครัวเรือน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนกิจกรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ
เพื่อทบทวนกระบวนการเรียนรู้
4.
ศึกษาดูงานประสบการณ์การพัฒนาวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงจากแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ
(บ้านพี่) เพื่อสร้างแรงบัลดาลใจ
และเกิดการกระตุ้นพร้อมนำไปปฏิบัติจากการศึกษาดูงานแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ
5.
ส่งเสริมการจัดทำแผนชีวิตและแผนชุมชน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลครัวเรือน
เพื่อทำแผนชีวิตครัวเรือน วิเคราะห์ข้อมูลชุมชน เพื่อจัดทำหรือทบทวน/ปรับแผนชุมชน
พร้อมทั้งประเมินหมู่บ้านตามเกณฑ์ประเมินหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ
ของกระทรวงมหาดไทย (4 ด้าน 23 ตัวชี้วัด) และประเมินความ “อยู่เย็น เป็นสุข” หรือความสุขมวลรวมของหมู่บ้าน (Gross
Village Happiness : GVH)
6.
ดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง
โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้หมู่บ้านนำผลจากการส่งเสริมการจัดทำแผนชีวิตและแผนชุมชนมาเป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาให้ดีขึ้น
5.
ปัญหาที่พบและแนวทางการแก้ไขปัญหา
ปัญหาที่พบ
1. ครัวเรือนพัฒนา ต้องคัดเลือกจากครัวเรือนที่มีความพร้อม
และเป็นครัวเรือนที่น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน
แนวทางการแก้ไขปัญหา
1.
ปรับกรอบแนวความคิด/ กระบวนการทางความคิด (Mindset) ให้ผู้แทนครัวเรือนพัฒนา
เกิดความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ
2.
คัดเลือกครัวเรือนเป้าหมายที่มีความเข้าใจ
และเกิดความตระหนักในการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต และเป็นครัวเรือนที่น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.
ควรได้รับการพัฒนาจากหน่วยงานภาคีทุกหน่วยงาน เพื่อให้มีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน
ซึ่งจะได้รับการพัฒนาให้ครบในทุกๆด้าน
2. ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจในแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง
เอาความสะดวกสบายความรวดเร็วเป็นที่ตั้ง
และที่สำคัญยังคงใช้สารเคมีที่นับวันจะใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายก็พบกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น คุณภาพชีวิตที่เริ่มตกต่ำ
และเริ่มที่จะหลงลืมภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
แนวทางการแก้ไขปัญหา
ควรเริ่มจากให้ความรู้ความเข้าใจตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง
จากนักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน
และผู้ที่ใช้ชีวิตตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงที่ประสพความสำเร็จในชีวิต
เพื่อปรับเปลี่ยนแนวความคิด ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด หากเปลี่ยนแนวความคิดไม่ได้ก็ยากที่จะขับเคลื่อนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงให้ประสพความสำเร็จ
6.
ประโยชน์ขององค์ความรู้
1. ครัวเรือนพัฒนาและประชาชนในหมู่บ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เมื่อมีการปรับแนวความคิดไปสู่การดำเนินชีวิตที่น้อมนำและให้ความสำคัญกับการดำรงชีวิตตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มมากขึ้น
2. ครัวเรือนพัฒนาและประชาชนในหมู่บ้านดำเนินวิถีชีวิตตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
ด้วยการมีส่วนร่วม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้ออารีต่อกัน และอยู่อย่างประชาธิปไตย
3. ครัวเรือนพัฒนาสามารถจัดทำแผนชีวิตครัวเรือน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของครัวเรือนได้
4.
หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงสามารถวางแผนการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาจากผลการจัดทำแผนชีวิตของครัวเรือนพัฒนา
แผนชุมชน ผลการประเมินหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ของกระทรวงมหาดไทย (4 ด้าน 23
ตัวชี้วัด) และผลการประเมิน “ความอยู่เย็น
เป็นสุข” หรือความสุขมวลรวมของหมู่บ้าน
ซึ่งหมู่บ้านสามารถดำเนินการได้เองเป็นอันดับแรก
หรือประสานความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกได้
5. การทำงานเป็นทีม โดยการใช้หลักการมีส่วนร่วม
ในทุกระดับภาคส่วนทั้งจากภาครัฐ องค์กรภาคประชาชน เพื่อให้การขับเคลื่อนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงประสบความสำเร็จและพึ่งตนเองได้
นั้นเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
6.
การประสานงานความร่วมมือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกับผู้นำชุมชน ส่วนราชการท้องที่,
ท้องถิ่น ภาคเอกชนและคณะกรรมการหมู่บ้าน
คนในชุมชนร่วมคิด ร่วมรู้ ร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์ เพื่อค้นหาข้อมูล
รวบรวมผลงานของกลุ่ม/องค์กร และจัดทำเอกสารความรู้ในการขยายผลสู่หมู่บ้านอื่น
7.
ผู้นำชุมชนมีศักยภาพ มีภาวะผู้นำ มีความเสียสละ
มีการบริหารจัดการหมู่บ้านที่ดี มีความเข้มแข็ง มีความพร้อม มีความสามัคคี
ในการเข้าร่วมการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ
และขยายผลครัวเรือนต้นแบบให้ครอบคลุมทั่วทุกครัวเรือนในระดับหมู่บ้าน
7.
เทคนิคในการปฏิบัติงาน
1. ยึดหลักความมีศักดิ์ศรีและพัฒนา ศักยภาพของประชาชนและเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้มากที่สุด
ต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนนั้นมีศักยภาพที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่จะปรับปรุงพัฒนาตัวเองได้จึงต้องให้โอกาสประชาชนในการคิดวางแผนเพื่อแก้ปัญหาชุมชนด้วยตัวเอง
โดยพัฒนากรเป็นผู้กระตุ้นแนะนำและส่งเสริม
2. ยึดหลักการพึ่งตัวเองของประชาชนนักพัฒนาต้องยึดมั่นเป็นหลักสำคัญว่าจะต้องสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้โดยการสร้างพลังชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชน
3. ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิดตัดสินใจวางแผนปฏิบัติตามแผนและติดตามประเมินผลในกิจกรรม
เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการดำเนินการอันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของโครงการหรือกิจกรรม
4. ยึดหลักประชาธิปไตยในการทำงานจะต้องเริ่มด้วยการพูดคุยประชุมปรึกษาหารือร่วมกันคิดร่วมกันตัดสินใจและ
ทำร่วมกันรวมถึงรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามวิถีแห่งประชาธิปไตย
5. การให้การศึกษาแก่ชุมชนเป็นการสนทนาวิเคราะห์ปัญหาร่วมกับประชาชนเป็นการนำข้อมูลต่างๆ
ที่ได้จากขั้นตอนการศึกษาชุมชน มาวิเคราะห์ถึงปัญหาความต้องการและสภาพที่แท้จริงผลกระทบความรุนแรงและความเสียหายต่อชุมชนเป็นวิธีสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประชาชนได้รู้เข้าใจและตระหนักในปัญหาของชุมชน
โดยการจัดเวทีประชาคมเพื่อค้นหาปัญหาร่วมกันของชุมชน
6.การวางแผน / โครงการเป็นขั้นตอนในการที่ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจและกำหนดโครงการเป็นการนำเอาปัญหาที่ประชาชนตระหนักและยอมรับว่าเป็นปัญหาของชุมชนมาร่วมกันหาสาเหตุ
แนวทางแก้ไขและจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และให้ประชาชนเกิดเป็นผู้ตัดสินใจที่แก้ไขปัญหาภายใต้ขีดความสามารถของประชาชนและมีการแสวงหาการช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก วิธีนี้เป็นวิธีสำคัญ
คือการให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขปัญหาวิธีการวางแผนการเขียนโครงการและการใช้เทคนิคการวางแผนแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น