วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

KM : เทคนิคการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การวิเคราะห์ความสุขมวลรวม โดย ธัญญลักษณ์ พงษ์ทุมพร

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทาง
เศรษฐกิจและภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถ ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแส โลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐทั้งในการพัฒนาและการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง ความพอเพียงหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล รวมถึงมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการเปลี่ยนแปลงอันที่จะเกิดจากภายนอกและภายใน โดยมีเงื่อนไขความรู้ คู่คุณธรรม
บ้านซับตะเคียน  เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ระดับ การพัฒนา “พออยู่  พอกิน”
แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงตามเกณฑ์ตัวชี้วัด 6x2 โดยมีกระบวนการเริ่มที่ผู้นำชุมชนที่เสียสละ รับผิดชอบ และเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนยกตัวอย่างเช่น การคัดเลือกครัวเรือนเป้าหมายนั้น ผู้นำชุมชนจะประชุมแกนนำจัดเวทีประชาคมเพื่อคัดเลือกครัวเรือนเปาหมาย 50 ครัวเรือนเมื่อครัวเรือนเป้าหมาย ได้รับการอบรมให้ความรู้เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานการพัฒนาวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงจากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ประสบผลสำเร็จแล้วก็กลับมาจัดทำแผนชีวิต แผนครัวเรือน  จัดทำบัญชีครัวเรือน และปรับแผนชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการดำเนินกิจกรรมของครัวเรือน การพัฒนาหรือขับเคลื่อนตัวชี้วัดทั้ง 6 ด้าน 12 ตัวชี้วัด จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในแต่ละคุ้มโดยมีผู้นำชุมชนหรือปราชญ์ชาวบ้านเป็นผู้คอยให้การสนับสนุนการเรียนรู้แล้วมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในเวทีใหญ่ทั้งหมู่บ้าน มีการคัดเลือกครัวเรือนตัวอย่างในแต่ละคุ้ม ตลอดจนมีการมอบหมายภารกิจให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละด้าน สิ่งที่สำคัญจากการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบตัวชี้วัดต้องเป็นบุคคลที่มีภูมิรู้ในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย และเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่นทั้งภาคภาครัฐ ภาคเอกชน เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชน สำนักงานเกษตร สาธารณะสุข ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ
สำหรับการประเมินความสุขมวลรวมของบ้านซับตะเคียน และใช้ปรอทวัดความสุขเป็นเครื่องมือในการประเมิน โดยให้คนในชุมชนทั้งหมดคนพ้องต้องกัน ใช้ทุกตัวชี้วัดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา คะแนนที่ได้จะเห็นถึงระดับความสุข ว่าอยู่ในระดับ โดยมีขั้นตอนการประเมิน ความ“อยู่เย็น เป็นสุข”  ดังนี้
1. วิทยากรในการประเมิน ทำความเข้าใจในกระบวนการ ขั้นตอนการจัดประชุมรวมทั้ง ศึกษา
รายละเอียดความหมายของตัวชี้วัด เตรียมคำถามที่สามารถสร้างความเข้าใจหรือสื่อสารกับผู้เข้าร่วมประชุมและเหมาะสมสำหรับกลุ่มคนในชุมชน

- 2 –

2. ทำความเข้าใจในขั้นตอนประเด็นคำถาม การใช้เครื่องมือกับคณะวิทยากร แบ่งงานในทีมเตรียมวัสดุ
อุปกรณ์ให้เพียงพอ  การจัดสถานที่ให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมมีส่วนร่วมมากที่สุด
3. พัฒนากรผู้ประสานงานตำบล ต้องเตรียมความพร้อมของชุมชนโดยการประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจต่อประชาชนในการเข้าร่วมประชุม เตรียมข้อมูลความเป็นจริงของหมู่บ้าน เพื่อร่วมกันตัดสินใจการประเมิน
4. ดำเนินการประเมิน โดยสร้างบรรยากาศ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายเป็นกันเองในการ
ประเมิน ชี้แจงวัตถุประสงค์  และอธิบายความหมายของแต่ละองค์ประกอบตัวชี้วัด ให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ให้ที่ประชุมให้เหตุผลหรือบอกวิธีการที่ทำให้ตัวชี้วัดเป็นจริง แล้วให้ที่ประชุมให้คะแนนที่ละตัวชี้วัด โดยวิธีการยกมือให้คะแนนตามที่ต้องการ จนครบทุกตัวชี้วัดแล้ววิทยากรจึงเฉลยความหมายในแต่ละระดับ
5. ถามที่ประชุมต่อว่า ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำ จะต้องทำอะไรต่อกันดี เพื่อให้ค่าคะแนน ความสุขเพิ่มขึ้น สำหรับหรับตัวชี้วัดที่ได้ค่าคะแนนสูงจะต้องทำอะไรต่อเพื่อให้คงอยู่และดีขึ้นอีก แล้วนำข้อเสนอที่ได้ไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแผนพัฒนาหมู่บ้านต่อไป
การประเมินผลการขับเคลื่อนหมู่บ้านประกอบด้วยประเมินระดับครัวเรือนโดยใช้ตัวชี้วัด 6 ด้าน 12 ตัวชี้วัด ประเมินตามแบบกระทรวงมหาดไทย 4 ด้าน 23 ตัวชี้วัด และการประเมินความสุขมวลรวม 6 ด้าน 22 ตัวชี้วัด โดยเน้นที่การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนกับการประเมิน ตามตัวชี้วัดที่กำหนด ซึ่งประกอบด้วย 1) ด้านสุขภาวะ  2) เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งเป็นธรรม 3) ครอบครัวอบอุ่น4) การบริหารจัดการชุมชนที่ดี  5) สภาพ
แวดล้อมที่ดีมีระบบนิเวศสมดุล  6) ชุมชนประชาธิปไตยธรรมาภิบาล
ขุมความรู้ (Knowledge  Assets)
จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าบ้านซับตะเคียน  มีการนำความรู้ในหลายๆ ด้านเช่น ด้านการเกษตร อุตสาหกรรมในครัวเรือน ช่าง ประมง และประเพณีวัฒนธรรม  ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของผู้คนในชุมชนและเมื่อมีการปรับแนวการดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงอยู่บนพื้นฐานเดิมของการและเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการสืบทอดแนวคิด จากรุ่นสู่รุ่น  และมีสภาพภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่มีความสวยงามเหมาะสม สำหรับการท่องเที่ยว เชิงนิเวศน์ ซึ่งมีหน่วยงาน/องค์กรเอกชน/ภาคีสนับสนุน
ข้าพเจ้าในฐานะเจ้าหน้าที่ ได้มีการประชุมทีมงานและประสานภาคีพัฒนาในพื้นที่ตำบล เช่น สาธารณสุข เกษตร, กศน. , อบต. และภาคเอกชน  จัดการประชุมชี้แจง ทำความเข้าใจกระตุ้นให้ครัวเรือนเป้าหมายมีจิตสำนึกและสนับสนุนการดำเนินงานของหมู่บ้าน  ดังนี้
1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
2. จัดเวทีค้นหาปราชญ์ชาวบ้านที่มีอยู่ในชุมชน
3. จัดเวทีปรับแผนชุมชน แผนปฏิบัติการของครัวเรือน
4. จัดสร้างทีมงานในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินกิจกรรม
แก่นความรู้  (Core  competency)
1. จัดเวทีประชาคมเสนอข้อมูลที่สำคัญเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบันและร่วมกันวิเคราะห์ถึง
ปัญหา สาเหตุของปัญหา
2. ให้คนในหมู่บ้านร่วมกันกำหนดทิศทางการพัฒนาตามเกณฑ์ที่กำหนด
3. การดำรงชีวิตแบบพอเพียงสัมพันธ์กับวิถีชีวิตเดิมของคนในชุมชน
4. วิถีปฏิบัติของคนในครัวเรือน/ชุมชนเชื่อมโยงไปสู่ความสุขมวลรวมของคนในหมู่บ้าน
5. หลักการมีส่วนร่วม  ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างทีมงาน
เจ้าของความรู้ นางสาวธัญญลักษณ์  พงษ์ทุมพระ
ตำแหน่ง นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ
สังกัด สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตากฟ้า
เบอร์โทร 093 – 1363980
แก้ปัญหาเกี่ยวกับ     การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนำสู่ความสุขมวลรวม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ       เดือน มกราคม – มิถุนายน   2559
สถานที่เกิดเหตุการณ์   บ้านซับตะเคียน  หมู่ที่ 11  ตำบลสุขสำราญ  อำเภอตากฟ้า  จังหวัดนครสวรรค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น